ก้างปลาแทนความรู้สึก แมวจรตัวมอมเดินมาขอข้าวกินพร้อมเหน็บกางปลามาด้วยเหมือนอยากสื่อว่ากำลังหิว
เพราะในชีวิตจริงนั้นเลือกที่จะเกิดมาไม่ได้ทำให้หลายๆชีวิตนั้นต้องเกิดมาดิ้นรนต่อสภาพที่ตนนั้นได้เกิดมาไม่ว่าจะด้วยอาหารประทังชีวิตให้ได้อิ่มท้องนอนหลับสนิทในแต่ละวัน หรือไม่ว่าจะเป็นที่หลบฝนหลบแดดที่ซุกหัวนอนไม่หวาดระแวงจากภัยอันตรายจากภายนอก
เช่นเดียวกับเจ้าเหมียวรายนี้หลังผู้ใช้เฟสบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า Warattama Tabhiran ได้โพสต์เรื่องราวสุดน่ารักของเจ้าเหมียวรายนี้หลังจากที่เธอนั้นพบเจ้าเหมียวมาร้องขออาหารหวังให้อิ่มท้องแต่ทว่าสิ่งที่ได้เห็นนั่นก็คือน้องเหน็บกิ๊ฟเป็นก้างปลาติดหัวมาด้วย
ซึ่งไม่รู้ว่าน้องนั้นไปมุดหาเศษอาหารที่ไหนมาจนทำให้ก้างปลาติดหัวมาเป็นกิ๊ฟติดผมมาเป็นเครื่องประดับที่แสนจะสวยให้กับตัวหนู แต่ด้วยความน่ารักนี้ก็คงจะต้องผ่านอะไรมาเยอะอย่างแน่นอน ซึ่งทราบเรื่องราวเพิ่มเติมว่าน้องแมวนั้นเป็นแมวที่อาศัยอยู่ในบริเวณหอของเธอ
โดยที่น้องไม่ได้มีเจ้าของแต่อย่างใดแต่ก็คงจะได้กินจากคนแถวนี้บ้าง และน้องก็มีหน้าที่เป็นยามเฝ้าหออีกด้วยแต่ถึงยังไงก็อยากที่จะให้น้องได้อยู่กับคนที่รักและมีที่ให้หลบแดดหลบฝนไม่ต้องมาทนเดินเอากิ๊ฟก้างปลาติดหัวมาแบบนี้อีก
ซึ่งทั้งนี้เธอจึงได้นำเรื่องราวดังกล่าวมาโพสต์ลงในกลุ่ม ทาสแมว และเพื่อนๆในกลุ่มก็ต่างพากันชื่นชมความน่ารักของน้องและก็ไม่รู้ว่าน้องนั้นต้องการจะสื่ออะไรถึงได้พกก้างปลาติดหัวมาด้วยแต่ถึงอย่างไรหากเพื่อนๆคนไหนสนใจเอ็นดูในความน่ารักของน้องก็สามารถติดต่อไปได้ที่ต้นโพสต์ได้เลยนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Warattama Tabhiran
ความทรงจำของมอมของหนุ่มทาสแมว ที่ยอมทุ่มเททุกอย่างขอเพียงให้น้องรอดชีวิต
เมื่อไม่นานมานี้ผู้ใช้เฟสบุ๊กคุณ : Aittipon Khomwhan ได้เผยเรื่องราวของเจ้ามอม แมวที่เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะเก็บน้องมาเลี้ยง ในตอนเจอกันครั้งแรกมอมแอบอยู่ในใต้เครื่องยนต์จนเขานั้นไปพบเข้า และตัดสินใจรับน้องไว้เพราะมีอะไรหลายๆอย่างอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้เหมือนกับมอมนั้นเกิดมาเพื่อให้หนุ่มรายนี้ดูแล
.
โดยเจ้าของโพสต์ได้เล่าว่าไดอารี่ของแมวจร ความทรงจำของมอม วันแรกที่ผมเจอมอมอยู่ในห้องเครื่องรถยนต์ ผมก็ไม่ได้คิดจะเลี้ยงเจ้ามอมเอาไว้ ผมวางแผนจะพามอมกลับกาญจนบุรีไปให้คนในครอบครัวเลี้ยงมอมเอาไว้ ในวันแรกที่พามอมขึ้นห้อง แมวอีกตัวที่เป็นเจ้าถิ่นทั้งดุทั้งขู่น้อง ผมต้องคอยดุน้องอีกตัวและดูแลมอม ลักษณะลายวัวของมอมทำให้ผมตกหลุมรักเลยก็ว่าได้ ผิวที่เป็นสีชมพูอ่อนๆ กินง่ายอยู่ง่าย เหมือนมอมเกิดและถูกส่งมาให้ผมเลี้ยงยังไงอย่างงั้น มันอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
มันเหมือนแมวตัวนี้จงใจมาหาผม เหมือนผมถูกกำหนดไว้ให้พบเจอกัน ผมจึงตัดสินใจเลี้ยงมอมไว้เอง เพราะคิดว่าคงไม่มีใครเลี้ยงและรักแมวตัวนี้ได้มากเท่าผมอีกแล้ว และมอมต้องได้รับการดูแลหลายอย่างทั้งตาและหวัดแมว โดยเจ้ามอมนั้นมีความดื้อยกกำลัง3 ของแมวตัวอื่นๆมารวมกัน พร้อมงับทุกอย่างที่เคลื่อนไหวได้ กว่าจะนอนได้ก็ดึกทุกคืน เหมือนที่ผมเคยกล่าวไว้ มอมคือส่วนหนึ่งในการนอนของผมในทุกๆคืนที่ผ่านไป
วันที่มอมป่วย ผมสู้จนถึงจุดแตกหักกับบัญชีของตัวเองที่ทำให้ผมติดลบไปถึงหลักหมื่นในเวลาเพียงแค่สองวันเท่านั้น เพียงขอให้ได้มอมกลับบ้าน และความช่วยเหลือจากบ้านหลังเล็กของไดอารี่ของแมวจรก็หลั่งไหลกันเข้ามา แต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตมอมเอาไว้ได้
เช้าวันที่ 19 หมอโทรมาบอกว่ามอมชักและหยุดหายใจ หมอยื้อและปั้มหัวใจให้ แต่มอมน้อยก็ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ผมวางสายโทรศัพย์ลง และเดินออกจากออฟฟิศกลับไปที่ห้องพักเพราะไม่อยากให้ใครเห็นผมร้องไห้ในตอนนี้ ถึงแม้ผมจะเข้าใจว่าการจากลาคือเรื่องธรรมดาของโลก แต่ด้วยความรักที่ผมมีต่อมอมก็ไม่อาจกลั้นมันเอาไว้ได้
มอมคือส่วนหนึ่งในชีวิต ส่วนหนึ่งของบ้านหลังเล็กไดอารี่ของแมวจร และผมเชื่อว่ามอมจะเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของทุกๆคน บทความนี้คือความทรงจำของแมวมอมที่จะคงอยู่ตลอดไป ความทรงจำเป็นวิธีที่จะยึดมั่นในสิ่งที่คุณรัก สิ่งที่คุณเป็น สิ่งที่คุณไม่ต้องการจะสูญเสีย
ที่มา Aittipon Khomwhan , ติดตามเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่ ไดอารี่ของแมวจร
สาวตามหาแมวหลังหายออกจากบ้านร้องสุดเสียงตามหาทั้งซอยไม่เจอ จนเธอถอดใจร้องไห้เดินกลับบ้านด้วยความเป็นห่วง
เพราะนิสัยโดยส่วนใหญ่ของเจ้าเหมียวหรือน้องแมวสัตว์เลี้ยงแสนรักที่เรานั้นเลี้ยงกันนั้น พวกเขาจะมีนิสัยที่คาดเดาสิ่งต่างๆไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นด้วยการรับฟังคำพูดหรือภาษาของคนอย่างเราๆ ซึ่งในบางครั้งพวกเขาก็ทำเหมือนกับว่าเข้าใจได้ดีแต่บางทีก็ไม่สนใจ
หรือซึ่งที่เรียกว่าแล้วแต่อารมณ์นั้นเองเช่นเดียวกับเจ้าเหมียวรายนี้หลังผู้ใช้เฟสบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า Dolkamon Sa-ardubol ที่ได้มาโพสต์บอกเล่าเรื่องราวของเจ้าเหมียวตัวแสบหลังจากที่มาขอคำปรึกษาจากเพื่อนๆในกลุ่ม คนอวดแมว หลังจากที่แมวของเธอนั้นหายออกไปจากบ้าน
เมื่อไม่นานมานี้หลังจากที่เจ้าเหมียวคิตตื้นั้นได้หายตัวไปตั้งแต่ช่วงเย็นซึ่งที่บ้านก็คิดว่าน้องนั้นแอบไปนอนก็เลยไม่ได้เรียกหาจนถึงช่วงเวลาค่ำๆ จึงได้เรียกออกมาเพื่อที่จะให้อาหารแต่ทว่าเจ้าเหมียวนั้นกลับไม่ออกมาและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ซึ่งที่บ้านก็ออกตามหากันให้วุ่นจนกระทั่งผู้เป็นเจ้าของนั้นได้กลับมาจากการทำงานเป็นเวลา 2 ทุ่มแล้วซึ่งในตอนแรกที่บ้านก็ไม่กล้าที่จะบอกว่าเจ้าคิตติ้นั้นหายไปเธอก็ได้มารู้เมื่อตอนที่เธอถึงบ้านแล้วเธอก็รีบออกไปตามหาน้องโดยคิดไปต่างๆนานาว่าน้องนั้นคงแอบหนีออกไปเที่ยว
เพราะนางมีนิสัยที่ซนมากแล้วอยากรู้อยากเห็นอีกทั้งน้องยังไม่ค่อยจะร้องออกมานอกจากจะได้ยินเสียงจากผู้เป็นเจ้าของเท่านั้น ซึ่งก็ได้ออกตามหากันไปทั่วบ้านแต่ก็ไร้วี่แววจนผู้เป็นเจ้าของนั้นหมดหวังกลับมานั่งร้องไห้ที่บ้าน แต่ทันใดนั้นเองอยู่ๆก็มีเสียงเจ้าคิตติ้ร้องออกมา ซึ่งเมื่อเปิดดูจากที่มาของเสียงนั้นก็เจอน้องนอนทำหน้างงเหมือนกับเพิ่งตื่นแถมบิดขี้เกียจโชว์ทำตาปรือๆว่าเกิดอะไรกันขึ้นเหรอ ทำไมเสียงดังกันจัง หนูแค่หลับอยู่ในลิ้นชักนี่เอง นางก็ทำหน้างงๆโดยไม่รู้เลยว่าเขาตามหากันตั้งแต่เย็น ตามหากันทั้งบ้านแถมเจ้าของก็ร้องไห้เพราะตามหาไม่เจอ ซึ่งทั้งนี้ก็ทำเอาทั้งบ้านโล่งใจเมื่อได้เจอน้องแต่ก็กลุ้มใจกับปัญหานอนหลับลึกของนางเสียเหลือเกิน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Dolkamon Sa-ardubol
แม่ขอโทษนะลูกที่แม่เป็นแค่หมาจรข้างถนน แม่ขอโทษที่ทำได้เพียงคุ้ยเศษอาหารในกองขยะมาให้ได้อิ่ม
หากเราจะเอ่ยถึงหัวอกคนเป็นแม่แล้วเชื่อว่าทุกๆคนย่อมเข้าใจความรู้สึกและเข้าใจความหมายกับคำๆนี้ดีกว่าใคร เพราะไม่มีอะไรจะมาเปรียบกับความรักของแม่ได้ไม่ว่าจะเป็นการเสียสละ หรือความรักที่แม่มีต่อพวกเราทุกคนแล้วย่อมกว้างใหญ่กว่าใครจะเปรียบ
และก็ไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์อย่างเราๆเพียงเท่านั้นแม้แต่สัตว์ตัวน้อยๆหรือสุนัขจรตัวนี้ก็มีความเป็นแม่ไม่ต่างไปจากมนุษย์เลย โดยเมื่อผู้ใช้เฟสบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า Sujira Rassamibunpotkul ได้โพสต์เล่าเรื่องราวของแม่สุนัขจรที่แสนจะบีบใจ หลังน้ำตาของแม่ไหลออกมาเพื่อหาอาหารให้ลูกกิน
และกล่าวขอโทษที่แม่นั้นเป็นแค่หมาจรข้างถนน ขอโทษที่ทำได้เพียงคุ้ยเศษอาหารจากกองขยะมาให้ได้อิ่ม ขอโทษทีมีเพียงเศษใบไม้ใบหญ้าปูรองให้ลูกนอนยามแดดยามฝนก็ทำได้เพียงแค่เอาตัวเองกำบังให้ ซึ่งบางครั้งก็ต้องเอาลูกน้อยไปหลบแดดหลบฝนใต้ท้องรถ
เขาขับไปไม่ได้ดูก็ทับลูกของแม่ แม่ผิดเองที่เกิดมาเป็นแค่หมาจรข้างถนนตัวนึงที่ใครๆเขาก็ไม่ชอบ ไม่ได้มีบ้านหลังใหญ่โตให้ลูกได้อยู่อาศัยเหมือนหมาพันธุ์สวยๆพันธุ์ดีๆอย่างใครเขา ซึ่งความหวังของแม่ในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะต้องเจ็บปวดเพียงใดก็อยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี
ได้มีบ้านดีๆอยู่ไม่ต้องทนลำบากเหมือนกับตัวแม่นี้ ซึ่งผู้โพสต์จึงได้นำเรื่องราวมาโพสต์ลงในโลกออนไลน์เพื่อหวังว่าเจ้าตูบตัวน้อยๆจะได้มีบ้านที่อบอุ่นได้กินอิ่มนอนหลับทั้งแม่และลูกๆ ซึ่งหากเพื่อนๆคนไหนสนใจอยากที่จะรับน้องๆไปเลี้ยงก็สามารถติดต่อไปได้ที่ต้นโพสต์ได้เลยนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Sujira Rassamibunpotkul
เจ้าจุดหมาจรเจี๋ยมเจี้ยม เดินคาบของมาแลกข้าวนานกว่าหนึ่งปีเพราะไม่อยากขอกินฟรีเหมือนใครๆ
เมื่อไม่นานมานี้ผู้ใช้เฟสบุ๊กคุณ : รสา วุ้นรสนิยม ได้เผยเรื่องราวสุดน่ารักของเจ้าจุด เจ้าจุดเป็นหมาจรในซอยอาศัยอยู่บริเวณบ้านของสาวผู้โพสต์มานานกว่า 1 ปีแล้ว โดยเจ้าจุดเป็นที่รักของคนในชุมชนและน้องแสนรู้เป็นที่สุด นางมักคาบสิ่งของต่างๆเพื่อนำมาแลกกับของกิน มีทั้งข้าว ไก่ทอด ขนม ทุกอย่างที่สาวใจดีท่านนี้จะหามาให้ได้ แถมน้องมีกฎเฉพาะตัวด้วยนะเดี๋ยวเราจะมาเล่าให้ฟัง
.
โดยเจ้าของโพสต์ได้เล่าว่า โดยเจ้าจุดมีกฎเหล็กอยู่สามข้อด้วยกันที่สาวใจดีท่านนี้จะต้องทำตามเมื่อจุดคาบของมาให้
1.ต้องรับของที่จุดคาบมาให้ ถ้าไม่รับ นางจะคาบไม่ยอมปล่อย ตามตื้อ เดินตามติดไม่ยอมไปไหน
2.ถ้าหาอะไรมาให้ต้องรับไว้ ห้ามเอาไปทิ้งต่อหน้า รับจากหน้าบ้านต้องเอาไปซ่อนทิ้งหลังบ้านไม่งั้นนาง จะเวิ่นเว้อ จะไปเอากลับมาจนได้ (เพราะน้องตั้งใจเอามามอบให้ของที่นางหามาคือของล้ำค่าที่เราจะต้องเก็บไว้)
3. ถ้าไม่อยากรับ ไม่อยากเอาทิ้งก็ให้พูดว่า พี่จุดเอาไปกินเถอะ เค้าอิ่มแล้ว เค้าไม่เอานางก็จะเอาไปแทะเอง
ชาวเน็ตหลายท่านสอบถามเข้ามาว่าทำไมถึงตั้งชื่อว่าน้องจุด แล้วน้องเป็นหมาจรมาจากไหน มาจากไหนเพราะสาวใจดีเขาก็ไม่รู้อยู่ๆก็เห็นตอนนางโตแล้ว ส่วนนางมาจากไหนอันนี้ไม่แน่ใจว่าตกรถมาหรือเปล่า มาแรกๆไปแอบอยู่ในดงหญ้า จะออกมาเฉพาะตอนกลางคืน หลังๆ แต่พอพักหลังเริ่มคุ้นเคยแล้วก็ออกมาพบปะผู้คนยอมให้จับ
นางน่ารักนะทุกๆครั้งที่นางหิวนางจะไม่ได้เดินมาขอกินข้าวฟรีๆ ทุกวันเวลานางหิวนางจะ หาของมาแลก นางตั้งใจหามาให้ทุกอย่าง ซ้ำบางไม่ซ้ำบางแล้วแต่จะหาได้ นางได้กินแล้วนางก็จะไม่วุ่นวายแล้วค่ะ นางก็จะไปอยู่ในที่ของนาง
นางเป็นหมาเรียบร้อย ไม่ชอบคนเสียงดัง จับเบาๆพูดด้วยค่อยๆกินข้าวคำเล็กๆ ส่วนของที่หามาได้ก็จำพวกของสิ้นคิดที่สุดก็จะเป็นใบไม้ แต่ถ้าเป็นของหายากหน่อยก็เป็นพวกซองจดหมาย โบชัวร์เงินกู้ หรือแม้กระทั่งฟักข้าวโพดที่กินหมดแล้ว
นี่แหละนะความน่ารักของจุด หมาจรผู้น่ารักและรักความสงบเป็นที่สุดแถมแสนรู้ไม่เคยมาขอกินฟรี คาบของทุกสิ่งทุกอย่างที่หามาได้เพื่อนำมาแลกข้าวกินในแต่ละวัน หมาจรนี่ฉลาดแสนรู้ยิ่งกว่าหมาบ้านเสียอีกเนอะ
หลายท่านก็ถามเข้ามาอีกว่าทำไมตั้งชื่อว่าจุดละคะ เอาจริงๆลายแอบเหมือนวัวนมเลย ตอนแรกๆจะเรียกนางว่างัว (ในภาษาเหนือคือวัว) ก็ เกรงใจข้างบ้านเวลาจะเรียก ไอ้งัว(วัว)มานี่ๆ เดี๋ยวคนข้างบ้านเขาจะนึกว่าด่าใคร...
เป็นแมวที่หอชอบมานั่งรอขึ้นลิฟด้วย แถมแสนรู้ฉลาดเกินแมวรู้ว่าอยู่ห้องไหนไม่วายตามไปหาถึงที่ออฟฟิศ
เพื่อนๆหลายคนที่ได้เลี้ยงแมวนั้นก็คงจะรู้ดีว่าแมวนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดแต่พวกเขามักจะไม่ชอบแสดงความฉลาดเหล่านั้นออกมา ซึ่งในบางทีเราก็ไม่สามารถที่จะคาดการณ์กับสิ่งต่างๆที่พวกเขาทำได้เพราะบางทีเขาก็ดูเหมือนไม่ฉลาดแต่บางทีก็แสดงความฉลาดออกมาซะอย่างงั้น
แบบที่เรานั้นคิดไม่ถึงเช่นเดียวกับเจ้าเหมียวรายนี้ หลังผู้ใช้เฟสบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า Palita Yookhong ได้นำเรื่องราวของเจ้าเหมียวแสนรู้มาโพสต์บอกเล่าเรื่องราวลงในกลุ่มทาสแมว หลังจากที่เจ้าเหมียวนั้นชอบมานั่งรอขึ้นลิฟท์ด้วย ซึ่งน้องนั้นเป็นแมวที่หอที่เธอนั้นอาศัยอยู่
แถมเจ้าเหมียวยังรู้ดีอีกด้วยว่าผู้โพสต์นั้นอาศัยอยู่ที่ห้องไหน ซึ่งทุกวันก็มักจะมานั่งรอที่หน้าลิฟท์และเดินออกจากลิฟท์มาที่หน้าห้องและเดินเข้าห้องก่อนที่เธอจะเข้าห้องซะอีก เหมือนกับว่ามาขอนั่งเล่นที่ห้องเธอหน่อยทำเหมือนเป็นบ้านตัวเองซึ่งเป็นแบบนี้อยู่ในทุกๆวัน
จนหลายๆคนนั้นคิดว่าเป็นแมวของเธอไปแล้ว โดยที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าน้องนั้นมีชื่อว่าอะไรแต่เธอเรียกน้องว่าเจ้าแหม่ว และยิ่งไปกว่านั้นออฟฟิศของเธอก็อยู่ใกล้กับหอ ซึ่งเจ้าเหมียวแสนรู้ก็มักจะชอบเดินไปหาที่ออฟฟิศอยู่เป็นประจำจนคนที่ออฟฟิศก็คิดว่าเจ้าเหมียวนั้นเป็นแมวของเธอไปอีก (แต่เปล่าเลยน้องเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้)
โดยที่เธอก็ไม่ได้เลี้ยงเจ้าเหมียวแต่อย่างใด แต่ก็ดูมีคนให้ข้าวให้น้ำเพราะน้องก็อุดมสมบูรณ์ ซึ่งเมื่อเธอโพสต์เรื่องราวของน้องลงไปในกลุ่มก็ต่างมีเพื่อนๆเข้ามาคอมเม้นต์เชียร์ให้เธอเลี้ยงเจ้าเหมียวรายนี้อีกด้วย เพราะด้วยความน่ารักฉลาดแสนรู้ที่แมวหลายๆตัวมักจะไม่แสดงออกจึงทำให้หลายคนต่างหลงรักความฉลาดในตัวของนาง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Palita Yookhong
นอนซบกันเพราะรู้ดีกว่าใครว่าแม่เค้าจากเราไปแล้ว
เพราะการเลี้ยงสัตว์นั้นมักจะนำพาภาระมาให้กับผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งเราก็มักจะบอกกับเพื่อนๆทุกครั้งเกี่ยวกับเรื่องราวของน้องหมาน้องแมวว่าให้คำนึงถึงภาระที่จะตามมาถ้าคิดจะเลี้ยงพวกเขาแล้วเพราะอย่าได้ลืมไปว่าเหนือสิ่งอื่นใดพวกเขานั้นก็รักคุณดังผู้เป็นพ่อเป็นแม่
เช่นเดียวกับเรื่องราวนี้หลังผู้ใช้เฟสบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า มิสเตอร์ปลั๊กซ์ พชรนนท์ ได้นำเรื่องราวของเจ้าเหมียวสองตัวนี้มาโพสต์ลงในกลุ่มทาสแมว หลังจากที่เขานั้นน้องเอาไว้เพราะน้องถูกนำมาวางไว้และเดินหายออกไป เอาไปวางไว้บริเวณหน้าอพาร์ทเม้นท์ที่เขานั้นได้พักอาศัยอยู่
ในตอนที่พบน้องๆพร้อมกับเสื้อผ้าและรองเท้าอยู่หน้าอพาร์ทเม้นท์ดังกล่าวซึ่งทางผู้โพสต์ก็ได้ขอดูกล้องวงจรปิดกับทางเจ้าของหอแต่ทางเจ้าของหอก็ยังไม่ให้ดูจึงได้สอบถามจากแม่บ้านหอพัก โดยทราบว่ามีคน 2 คนเอาน้องมาวางไว้เมื่อตอนเที่ยงของเมื่อวานนี้
ซึ่งทางผู้โพสต์นั้นได้เลิกงานตอนตี 1 และกลับมาเจอน้องๆเลยเอาน้องๆมาไว้ที่ห้องก่อนซึ่งน้องๆนั้นมาพร้อมกับถุง 1 ใบและในถุงมีเสื้อผ้าและชามข้าวและรองเท้าของเจ้าของ 3 คู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของผู้หญิง ซึ่งทางผู้โพสต์เองก็ไม่สามารถที่จะเลี้ยงน้องๆได้
เนื่องจากทางหอพักก็มีกฏห้ามเลี้ยงสัตว์เลี้ยงและทางตัวผู้โพสต์เองก็แพ้ขนแมวอีกด้วย แต่ด้วยความเอ็นดูในคืนนี้ก็คงจะต้องให้น้องๆอยู่ในห้องไปก่อนจึงอยากให้เพื่อนๆในกลุ่มช่วยกันหาบ้านให้กับน้องๆเพราะน้องๆไม่เหลือใครแล้วจริงๆ ทั้งนี้ก็วอนขอโดยหากเพื่อนๆคนไหนสนใจอยากจะรับเลี้ยงน้องๆก็สามารถติดต่อไปได้ที่ต้นโพสต์ได้เลยนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก มิสเตอร์ปลั๊กซ์ พชรนนท์
โรคที่รักษาไม่หาย หลังแมวของเธอติดไวรัสโคโรน่าแมวและจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกแค่3เดือน
เมื่อไม่นานมานี้ผู้ใช้เฟสบุ๊กคุณ : Kanokwan Mö D'z ได้เผยเรื่องราวของแมวที่เธอนั้นได้เลี้ยงมันเอาไว้ โดยเจ้าเหมียวของเธอนั้นป่วยด้วยโรคที่ไม่มีทางรักษาอย่างโรคโคโรน่าแมว หรือเรียกสั้นๆว่า FIP (คนละตัวกับโคโรน่าอู่ฮั่น) และทางคุณหมอได้บอกว่าน้องจะเหลือเวลาอยู่ได้ไม่นานเต็มที่ก็แค่ 3 เดือนสุดท้ายของชีวิต
.
โดยเจ้าของโพสต์ได้เล่าว่า วันนี้ต้องทำใจยอมรับให้ได้ เพราะโรคนี้รักษาไม่หาย ไม่มีวัคซีนตัวไหนที่จะช่วยได้เลย เชื้อไวรัสนี้เกิดจากการขับถ่ายของตัวเอง เรียกว่าโรค FIP (โคโรน่าแมว) บางตัวอาจจะแค่ติดโรคแล้วถ่ายเป็นแบบเหลว พอหยุดถ่ายแล้วเชื้อจะหายไป วัคซีนก็มีส่วนช่วยป้องกันได้บ้าง แมวบ้างตัวก็อาจจะไม่ติดแล้วแต่ตัว บางตัวก็ติดจนไวรัสกลายพันธุ์ออกอาการไม่เหมือนกัน
ภูมิคุ้มกันของแมวแต่ละตัวก็แตกต่างกันออกไป ส่วนชิแมวของเธอมีอยู่ช่วงนึงที่ถ่ายเป็นแบบเหลว แต่เราก็คิดว่าเป็นเพราะเปลี่ยนอาหารหรือเปล่า แล้วชิจะชอบขุดทรายเลอะของเสียของตัวเองอยู่ตลอด แล้วก็จะเลียมือเท้า เราก็ไม่รู้พอถึงเวลานึงลูกก็ถ่ายเป็นปกติ เลยไม่เฉลียวใจแล้วปล่อยทิ้งไว้
เพราะโรคจะไม่แสดงอาการใดๆเลย ก่อนจะไปตรวจกับคุณหมอก็เจอ กว่าจะมาหาหมอ ก็ลามมาถึงกระแสโลหิต ท้องของชิมีแต่น้ำ เพิ่งจะผ่านวันเกิดได้ไม่นานเอง ไม่คิดมาก่อนว่าลูกจะเป็น หรือเป็นเพราะฉันเลี้ยงลูกดีเกินไป เลี้ยงเค้าอยู่แต่ในห้องแอร์ ไม่ค่อยได้ออกไปเจอแสงแดดเจอลมเจอใบไม้ใบหญ้าเหมือนกับใครๆเขา เค้าคงอึดอัดใจ
ไม่คิดว่าการที่ฉันเลี้ยงดูเค้าแบบนี้ คือการทำกับเขาทางอ้อม ผลสรุปหมอบอก ระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันมีแค่ไม่ถึง3เดือน ต้องคอยเจาะเอาน้ำออก ต้องคอยป้อนข้าวป้อนยาป้อนอาหารให้ลูกฝืนกิน ต้องคอยให้ยาปฏิชีวนะ ทุกๆสัปดาห์ นี่ฉันทำอะไรลงไป สู้กันนะลูก เอ้ยอย่างน้อยๆฉันก็ยังมีเวลา ขอให้ฉันได้ดูแลแกตลอดไปนะ จบที่ซูชิ แล้ว ฮารุ แล้วไม่ขอเลี้ยงตัวไหนอีกเลย ไม่อยากเสียใจอีกแล้ว ประสบการณ์ที่เราต้องเรียนรู้แล้วจะต้องจดจำไปตลอดทั้งชีวิต (ย้ำอีกครั้งนะว่าโรคโคโรน่าแมวกับโคโรน่าอู่ฮั่นเป็นคนละตัวกันนะ...
ยังคิดถึงคนบนฟ้าแม้จะรู้ว่าพ่อจะไม่มีวันกลับมา ได้แต่นอนบนหมอนที่มีกลิ่นของพ่อเพื่อคลายความคิดถึง
เพราะการเลี้ยงสัตว์ร่วมกับคนรักก็เหมือนกับการเลี้ยงลูกซึ่งจะเกิดความผูกพันความรักและความเมตตายิ่งแล้วถ้าเกิดเลี้ยงร่วมกับแฟนหรือคนรักก็เหมือนกับเราเลี้ยงลูกตัวน้อยไม่ต่างกันเลย แต่ทว่าการพบเจอย่อมมีการจากลาเสมอเช่นเดียวกับเรื่องราวของสาวรายนี้
หลังผู้ใช้เฟสบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า Kanokwan Sumphan ได้โพสต์บอกเล่าเรื่องราวที่ทำเอาเพื่อนๆในกลุ่มทาสแมวหลายคนถึงกับต้องเสียน้ำตาด้วยความที่ว่าเธอนั้นเคยสัญญากับแฟนหนุ่มของเธอเอาไว้ว่าหากใครจากโลกนี้ไปก่อนก็จะต้องอยู่ดูแลลูกแมวให้ดี และห้ามร้องไห้หรือคิดสั้นใดๆ
ซึ่งเมื่อปลายปีที่แล้วแฟนของเธอก็เสียไปจากอาการป่วยเดียวกับคุณปอ ทฤษฏี ซึ่งเจ้าเหมียวสุดที่รักของเธอก็ได้แต่เฝ้ารอคอยแล้วก็คอยผู้เป็นพ่อเพราะพ่อไม่กลับมาบ้านสักที ซึ่งทั้งนี้เธอก็ได้บอกกับน้องว่าไม่เป็นไรนะลูกแม่จะดูแลพวกหนูเอง
โดยหากว่าใครที่เคยคิดว่าแมวนั้นเป็นสัตว์ที่ความจำสั้นนั้นไม่จริงเลยเพราะน้องนั้นจะไปนอนบนหมอนของพ่อในทุกๆวันซึ่งมีกลิ่นของพ่ออยู่ หมอนใบนี้ไม่เคยซักหลังจากที่แฟนของเธอเสีย และน้องก็คงจะคิดถึงพ่อมากๆ ซึ่งตัวเธอเองนั้นก็คิดถึงไม่ต่างจากแมวแต่เมื่อพ่อเขาจากเราไปสบายแล้วเราก็จะต้องสู้เพื่อพ่อที่อยู่บนฟ้านะลูก
โดยตั้งแต่พ่อไม่อยู่น้องก็ไม่ค่อยกินข้าวเลยค่ะไม่ร่าเริง ไม่ค่อยวิ่งเล่นเหมือนที่เคยชอบเอาแต่ไปนอนซบตรงที่ของพ่อที่เขาเคยใช้แบบนี้ในทุกวัน ซึ่งตัวเธอเองก็สงสารเด็กๆมากแต่ก็ต้องเข้มแข็งเอาไว้เพราะเธอจะต้องดูแลเด็กๆต่อไปดั้งคำสัญญาที่ให้กับแฟนของเธอเอาไว้ จึงอยากที่จะฝากเพื่อนๆเอาไว้ให้ดูแลคนที่คุณรักของคุณให้ดีเพราะเราไม่รู้ว่าเราจะอยู่กับเขาได้นานแค่ไหน ทั้งนี้ก็ขอแสดงความเสียใจกับเจ้าของโพสต์ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ยังไงก็ขอให้สู้ๆและเข้มแข็งเอาไว้นะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Kanokwan Sumphan
มาเฝ้ารอขออาหารจากร้านก๋วยเตี๋ยว พอเขาเอามาให้แม่แมวกลับนั่งดูจนลูกอิ่มก่อนที่แม่จะกินเศษอาหารที่ลูกกินเหลือ
หากเราจะพูดถึงหัวอกคนเป็นแม่แล้วเชื่อว่าทุกคนก็คงจะเข้าใจคำๆนี้ดีว่าไม่มีสิ่งใดๆที่จะมาทดแทนคำๆนี้ได้ เพราะความรักของผู้เป็นแม่นั้นยิ่งใหญ่เสมอเพราะไม่ว่าอะไรก็ตามผู้เป็นแม่นั้นยอมทำ ยอมเสียสละให้กับลูกได้อย่างไม่มีข้อแม้และก็ไม่ใช่กับคนเพียงเท่านั้นแม้แต่กับสัตว์เองก็เช่นกัน
หลังผู้ใช้เฟสบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า อำพล ทองเมืองหลวง ได้โพสต์เล่าเรื่องราวและรูปถ่ายลงยังโลกออนไลน์หลังจากที่เขานั้นได้เดินทางและเกิดหิวจึงแวะนั่งกินก๋วยเตี๋ยวแถวตลาดคลองเตย ซึ่งเจ๊ร้านก๋วยเตี๋ยวนั้นก็ได้เอาอาหารใส่ถาดโฟมมาให้กับแม่แมวและลูกๆแบ่งกันกินเป็นมื้อค่ำ
ด้วยแมวทั้งหมดนั้นมี 5 ตัวเป็นแม่แมว 1 ตัวและเจ้าเหมียวตัวน้อยๆอีก 4 ตัวโดยถาดข้าวได้วางลงบนพื้นปุ๊บเจ้าเหมียวต้วน้อยๆก็วิ่งมารุมกินแบบในภาพ ส่วนแม่แมวนั้นกลับไม่ได้กินและนั่งเฝ้าดูลูกกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ผู้โพสต์จึงได้ตัดสินใจถ่ายภาพสุดน่ารักชุดนี้เอาไว้
และเมื่อถึงเวลาที่ลูกแมวตัวน้อยๆได้กินข้าวกันจนอิ่มสักพักก็ได้วิ่งไปเล่นกันต่อตามประสาเด็กตัวน้อยๆ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจนั้นก็คือแม่แมว ค่อยๆมากินเศษข้าวที่เหลือหลังจากที่ลูกๆได้ออกไปวิ่งเล่น ซึ่งก่อนหน้านั้นก็ได้แต่เฝ้ามองลูกตัวน้อยๆกินกันจนอิ่มท้อง
นี่แหละนะหัวอกคนเป็นแม่แล้วไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นสัตว์ก็เฝ้ารอให้ลูกได้อิ่มก่อนได้เสมอ ซึ่งเราก็อยากจะฝากเพื่อนๆเอาไว้ด้วยว่าไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตไหนพวกเขาก็มีความเป็นแม่เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกับพวกเราหากไม่ชอบก็อย่าไปขับไล่พวกเขาเลยเพราะพวกเขาก็มีหัวใจไม่ต่างจากเราเลยจริงๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก อำพล ทองเมืองหลวง